ทำไมต้องวางแผนชีวิต สำหรับวัยทำงาน 30+
- Sales D
- 14 ต.ค.
- ยาว 2 นาที

เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปไวเหมือนโกหก เคยที่คิดว่าจะทำงานจนเกษียณอายุ 55 ปี
ปัจจุบันข่าวปลดพนักงาน (Lay-off) เร็วและถี่ขึ้น บางคนอายุเพียง 40 นิด ๆ ก็เริ่มวิตกแล้วว่า
ประสบการณ์ที่เรามีนั้น บริษัทยังคงต้องการหรือไม่ หรือเราเป็นเป็นภาระต้นทุนก้อนโตสำหรับบริษัท ดังนั้นหากเราเริ่มต้นวางแผนชีวิตในวัย 30+ หมายความว่าเราได้เตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตหลังจากนั้น
ความจริงที่แสนจะโหดร้าย แต่ต้องขอบอกไว้นะ
ชีวิตของเรา
มีแต่เราเท่านั้นที่ต้องออกแบบชีวิตของเราเอง แม้จะมีเพื่อนสนิทมิตรสหายมากมาย หากเราลำบาก เราเองก็ไม่อาจจะขอหยิบยืมจากเพื่อน ๆ เพราะทุกคนต่างมีภาระของตนเอง มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ละคน
คอนเซ็ปต์ (Concept) หนึ่ง ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องหยิบยืมกัน เราจะนำมาปรับใช้ มีทั้งหมด 3 ข้อ
ข้อที่ 1 เราจะไม่ขอหยิบยืมและทำให้คนรอบกาย คนอื่น ๆ ลำบากใจ
ข้อที่ 2 เราจะไม่ให้ใคร ๆ ทั้งคนรอบกาย คนอื่น มาทำให้เราลำบากใจ
ข้อที่ 3 หากยังไม่เข้า กลับไปอ่านข้อที่ 1 และข้อที่ 2 อีกครั้ง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวของเราเอง หรือคนรอบข้าง เราจำเป็นต้องวางแผนชีวิตในวัย 30+ อย่างน้อยก็เพื่อขยายขอบเขตความสบายใจ ความมั่นคง ความสงบสุขในจุดที่เราควบคุมได้
ย้อนไปในอดีต เราอาจจะเจอวิกฤตต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น
ปี 1997 (พ.ศ.2540) เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง
ปี 2007 (พ.ศ.2550) เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (หรืออีกชื่อ วิกฤตสินเชื่อซับไพร์ม)
ปี 2019 (พ.ศ.2562) เกิดวิกฤตโรคโควิดระบาด
แต่ละวิกฤต อาจเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ ผลกระทบเพียงเล็กน้อยบ้าง หรือผลกระทบใหญ่หลวงบ้าง เราทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ไม่มากก็น้อย แต่เราสามารถสร้างขอบเขตความสบายใจ (Peace of mind Zone) ของเราเอง เพื่อเป็นที่พักพิง เป็นที่พักใจ ให้เราสามารถอยู่ได้อย่างสบายอกสบายใจ และมีความพร้อมที่จะรับมือกับวิกฤตต่าง ๆ ที่เป็นบททดสอบมวลมนุษย์ชาติ
ทุก ๆ วิกฤตที่เกิดขึ้น เราเองผ่านมาหมด และได้เห็นถึงการรับมือกับวิกฤตดังกล่าวของบริษัทเอกชน ที่เป็นส่วนหนึ่งในสังคมเรา บางบริษัทอาจได้รับผลดีจากวิกฤต แต่บางบริษัท ซึ่งก็ส่วนใหญ่อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าว และไม่สามารถเดินหน้าต่อไป หากไม่ทำอะไร
และเราทุกคนก็คงจะรู้กันว่า เมื่อเกิดวิกฤตและส่งผลกระทบกับบริษัทนั้น ทางบริษัทได้นำวิธีการเช่นไรมากใช้
มากกว่า 95% เลือกวิธีลดขนาดองค์กร (Down-Sizing) เพราะเป็นวิธีการที่ลดค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ที่บริษัทต้องจ่ายในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ทำให้พนักงานที่เคยถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ อาจถูกเปลี่ยนเป็นสินค้าที่ค้างสต็อก รอวันที่จะจำหน่าย ลด ล้าง ยกเลิก และยกเลิกสัญญาทั้งที่เต็มใจ หรือไม่เต็มก็ตาม ไม่วิธีการใดก็วิธีการหนึ่ง สุดท้ายบริษัทก็จะเลือกการลดค่าใช้จ่ายของบริษัท เป็นการตัดแขน ตัดขา เพื่อให้ชีวิตเดินหน้าต่อไป
บางบริษัทใช้รูปแบบการลาออกโดยสมัครใจ ที่เรียกว่า เกษียณก่อนอายุ (Early Retire) เป็นคำที่เริ่มได้ยินบ่อยและถี่ขึ้น ไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤตครั้งใหญ่หรอกนะ เพียงแค่สถานการณ์ปัจจุบัน มันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วที่เรียกว่า การดิสรัปต์ (disruption) หากบริษัทไม่ทำอะไร ความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งจะยิ่งลดน้อยลง และสุดท้ายกลับกลายเป็นต้องปิดกิจการไปได้ในที่สุด
ในปีนี้ ธุรกิจการธนาคาร เริ่มมีโครงการลดขนาดองค์กร ก็ให้ได้ยินอย่างหนาหูแล้ว เริ่มต้นจากการลดสาขา ยุบรวมสาขา ปิดสาขาที่ไม่คุ้ม เริ่มต้นใช้เทคโนโลยีมาให้ลูกค้าได้หันมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมทางการเงินอย่างการโอนเงินผ่านสมาร์ตโฟน การฝากเงินผ่านตู้อัตโนมัติ จะเห็นได้ชัดว่า พนักงานธนาคาร น่าจะเป็นตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเป็นอันดับต้น ๆ
ในอดีตไม่กี่ 10 ปีก่อนหน้านี้ เราเองจะได้ยินโครงการสมัครใจลาออก (เกษียณก่อนอายุ) สำหรับคนอายุ 50+ แต่ปัจจุบันเร็วขึ้นมาอยู่ที่ 45+ ซึ่งหากเราอายุ 30 ปี เรามีเวลาอีกเพียง 15 ปี เท่านั้นที่จะให้เราได้ทำงาน สร้างหลักประกันให้กับตนเองในชีวิตหลังเกษียณ
แต่อย่าชะล่าใจไปสำหรับ 45+ ขอบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นตัวเลขที่แน่นอน ใครจะไปรู้ว่า ยิ่งเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพียงใด อายุของคนที่ต้องเกษียณก่อนกำหนดอาจจะย่นย่อสั้นลง อาจมาอยู่ที่ 40+ ใครจะไปรู้ได้
ยิ่งปัจจุบันเราได้ยินคำว่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์ นี้มากขึ้น และเข้าถึงได้ง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องรู้อย่างลึกซึ้ง หรือบางคนอาจจะต่อต้าน AI แต่สักวันหนึ่งพวกเราจะได้ใช้มันอย่างแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะมันทั้งสะดวกและรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องพึงพาใครเพียงแต่เราเปิดใจยอมรับมัน
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เพื่ออยากจะบอกให้รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเริ่มวางแผนชีวิต ด้วยวัยเพียง 30+ นี้จะดีกว่าไหม ไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาบอกว่า คุณไม่ได้ไปต่อ หรือวันนี้เราไม่สามารถจ้างคุณได้อีกต่อไป
เพราะหากวันนั้นมาถึง เราเองจะสามารถเดินออกมาได้อย่างสง่างาม เจ็บบ้างแต่ไม่นานก็จะหาย
วันนี้หากเราอายุ 30+ ต่างก็มีความฝัน และอยากให้ความฝันประสบความสำเร็จให้ได้ดั่งใจฝันนั้น เราควรเริ่มต้นก้าวเดินไปสู่เป้าหมายในบั่นปลายของชีวิตเรา เพราะหากเรามีความพร้อม มีโอกาสในวันข้างหน้าอย่างแน่แท้
เป้าหมายที่คนส่วนใหญ่จะสอบถามกันก็คือ การวางแผนเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณ มากกว่า 80% ที่เลือกเป้าหมายนี้ ไม่แปลกที่คนส่วนมากจะเลือกเป้าหมายเช่นนี้ เพราะในที่สุดแล้ว ทุก ๆ คนต่างรู้อยู่แก่ใจว่า ในชีวิตหลังเกษียณจะมีใครมาดูแลเราได้ดีเท่าเรา (ยกเว้นข้าราชการ ที่ได้รับการดูแลในชีวิตหลังวัยเกษียณกันทุกคน)
ลองให้เวลากับตัวเองว่า หากเป้าหมายของเราเป็นเงินเก็บที่ไว้ใช้ยามเกษียณนั้น เราต้องการเก็บเงินเท่าไหร่ ลองเขียนมาคำนวณกันเล่น ๆ ดังต่อไปนี้
ด้วยสูตรคำนวณอย่างง่ายที่ว่า
เงินไว้ใช้หลังเกษียณ = A x 12 x B
A = เงินที่ต้องการไว้ใช้ต่อเดือน เช่น 10,000 บาท
B = จำนวนปี ที่คาดว่าจะอยู่หลังเกษียณ เช่น 30 ปี
เพราะฉะนั้น เงินไว้ใช้หลังเกษียณ = 10,000 x 12 x 30 = 3,600,000 บาท
ถึงจุดนี้ เห็นตัวเลข 3,600,000 อาจทำให้เราเริ่มท้อใจ แต่ลองนึกอีกที หากเราไม่เริ่มต้นทำอะไร เราจะลำบากแค่ไหนลองคิดดู
หากเราใช้อายุเกษียณการทำงานที่ 55 ปี เรามีเวลามากกว่า 25 ปีที่จะออกแบบชีวิตหลังเกษียณ
แต่หากเราใช้อายุเกษียณการทำงานที่ 45 ปี เรามีเวลาอีกเพียง 15 ปีที่จะออกแบบชีวิตหลังเกษียณ
ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราต้องเลือกทางเดินว่า เราจะเลือกก้าวเดินออกมาและเริ่มวางแผนชีวิตของเราสักที จะดีไหม
เมื่อเราเริ่มตั้งเป้าหมายแล้วนั้น ขั้นต่อไปคือเราต้องวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ๆ
หากอยากหาข้อมูลเพิ่มเติม เราสามารถเข้าไปดูเครื่องมือที่จะช่วยเราวางแผนและทำตามแผนได้สำเร็จ
เครื่องมือนั้นก็คือ Self-Coaching-Planner แพลนเนอร์ระบบ Coaching ตัวเอง
ใช้ระบบการตั้งเป้าหมายแบบ SMART GOAL
ใช้รูปแบบวงจร PDCA ช่วยในการวางแผน การทำตามแผน และการปรับปรุงแผนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ย้ำเตือนและกระตุ้นจูงใจให้ลงมือทำทุกวันตามหลักการ manifesting เพื่อช่วยให้จดจ่ออยู่กับเป้าหมาย
เพียงเท่านี้ เราเองจะมีทั้งความสุข และความภาคภูมิใจในชีวิตที่เราได้ออกแบบให้กับตัวเราเอง



ความคิดเห็น